เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2567 ดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ร่วมกันเป็นประธานในพิธีและลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการใช้งานระบบ e-Office ภายใต้โครงการคลาวด์กลางภาครัฐ (GDCC) โดยมีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมการบริหารจัดการหน่วยงานราชการในรูปแบบดิจิทัล เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลดิจิทัลของประเทศไทย งานดังกล่าวจัดขึ้นที่ห้องโถงชั้น 1 อาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์ กระทรวงวัฒนธรรม และมีผู้บริหารระดับสูงจากกระทรวงวัฒนธรรม รวมถึงข้าราชการจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร่วมเป็นสักขีพยาน
ดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ได้กล่าวในพิธีว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการปรับปรุงกระบวนการทำงานของหน่วยงานภาครัฐให้ทันสมัย สะดวก และรวดเร็ว เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งการใช้ระบบดิจิทัลในการบริหารงานนั้นถือเป็นหัวใจสำคัญของนโยบาย “Go Cloud First” โดยกระทรวงวัฒนธรรมมีบทบาทสำคัญในการเป็นหน่วยงานนำร่องในการบูรณาการระบบ e-Office กับคลาวด์กลางภาครัฐ หรือ GDCC นอกจากนี้ กระทรวงยังมีความพร้อมในด้านบุคลากรที่สามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ระบบ e-Office เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่กระทรวงวัฒนธรรมได้นำมาใช้ในการจัดการเอกสารและข้อมูล โดยในระยะแรกนั้นจะเน้นการใช้งานในระบบทะเบียนงานสารบรรณ การร่าง ทาน ตรวจสอบเอกสาร รวมถึงการลงนามในรูปแบบดิจิทัล ระบบนี้ยังรวมถึงการบริหารจัดการประชุม การแชร์ไฟล์ การจัดเก็บข้อมูล และการจองทรัพยากรภายในหน่วยงาน เช่น ห้องประชุมและรถยนต์ ซึ่งระบบทั้งหมดนี้ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อให้กระทรวงวัฒนธรรมสามารถทำงานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ดร.ยุพา ยังได้กล่าวต่อไปว่า การนำระบบ e-Office มาใช้นั้นจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของหน่วยงานราชการเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในด้านการเชื่อมโยงกระบวนการภายในของหน่วยงานต่างๆ บนแพลตฟอร์มเดียวกัน ซึ่งจะทำให้ข้อมูลและเอกสารถูกจัดการอย่างเป็นระบบ และสามารถเข้าถึงได้รวดเร็ว นอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการร่างเอกสาร การตรวจสอบ และการลงนามจะช่วยลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการทำงานแบบดั้งเดิม อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับเจ้าหน้าที่ในกระบวนการจัดการงานสารบรรณ
ประโยชน์อีกประการหนึ่งของระบบนี้คือการช่วยสร้างความโปร่งใสในการบริหารจัดการ การที่ข้อมูลถูกเก็บรวบรวมและแชร์ผ่านระบบดิจิทัลทำให้สามารถติดตามและตรวจสอบการทำงานได้ตลอดเวลา ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการสูญหายของเอกสารและช่วยให้กระบวนการทำงานมีความโปร่งใสมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ระบบ e-Office ยังช่วยในการจัดการทรัพยากรภายในองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการจัดการประชุม การจองห้องประชุม หรือการบริหารครุภัณฑ์อื่นๆ ที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงาน
ทางด้านศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้กล่าวในโอกาสนี้ว่า การขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลดิจิทัลนั้นต้องการให้หน่วยงานราชการก้าวสู่การเป็น “หน่วยงานไร้กระดาษ” (Paperless Office) โดยกระทรวงดิจิทัลฯ ได้ริเริ่มการใช้งานระบบ e-Office ในหน่วยงานของตนมานานกว่า 2 ปี และประสบความสำเร็จในการปรับปรุงกระบวนการทำงานให้รวดเร็วและแม่นยำมากยิ่งขึ้น การนำระบบ e-Office มาใช้ในกระทรวงวัฒนธรรมถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายการใช้งานไปยังหน่วยงานอื่นๆ ในภาครัฐ และคาดว่าภายในสิ้นปีนี้ จะมีข้าราชการและบุคลากรราว 100,000 คนที่ใช้งานระบบนี้ทั่วประเทศ
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ ยังได้ย้ำถึงความสำคัญของการปรับปรุงและพัฒนาระบบ e-Office อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการและความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี โดยทางกระทรวงดิจิทัลฯ ได้วางแผนในการฝึกอบรมบุคลากรของกระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานราชการอื่นๆ ให้มีความรู้และทักษะในการใช้งานระบบ e-Office อย่างเต็มที่ โดยคาดว่ากระบวนการอบรมและการนำระบบมาใช้งานในกระทรวงวัฒนธรรมจะใช้เวลาประมาณ 2 เดือน ซึ่งหลังจากนั้น ข้าราชการและบุคลากรจะสามารถใช้งานระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นการแสดงเจตนารมณ์ที่ชัดเจนของทั้งกระทรวงวัฒนธรรมและกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในการส่งเสริมการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อขับเคลื่อนการทำงานของหน่วยงานภาครัฐในทิศทางที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ การนำระบบ e-Office มาใช้ในการจัดการข้อมูลและเอกสารจะช่วยลดปัญหาต่างๆ ที่เกิดจากการใช้งานเอกสารแบบดั้งเดิม และส่งผลให้การทำงานของหน่วยงานราชการเป็นไปอย่างรวดเร็ว โปร่งใส และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ประชาสัมพันธ์กระทรวงวัฒนธรรม
โย ประเด็นรัฐ